ประเพณีการเลี้ยงผี, บูชาเทวดา มีอยู่ในวัฒนธรรมไทย ที่มักถูกมองว่างมงาย แต่สำหรับผู้ที่ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณอย่างจริงจังกลับพบต่างไป ดังนี้ การเลี้ยงผี คือ การไปหาผี หรือจิตวิญญาณที่ไม่สูงนักมาเลี้ยงเพื่อช่วงใช้ ปกติ คนไทยโบราณจะเลี้ยงผีอย่างแรกคือ ผีบรรพบุรุษ เพราะหาง่าย ไม่ต้องลำบาก ญาติที่ตายไปยังห่วงเราอยู่ก็จะอยู่ให้เราเลี้ยงดูและช่วยเหลือเราต่อไป สำหรับคนที่มีอาคมมากขึ้น ก็จะไปหาผีมาเลี้ยง เช่น ผีกุมาร, ผีลูกกรอก, ผีพราย, ผีตายโหง ฯลฯ ตามแต่กำลังอาคมจะเลี้ยงได้
การเลี้ยงผี มีสองลักษณะ คือ ลักษณะที่ปล่อยตามอิสระ และลักษณะที่ผูกมัดเอาไว้ที่ใดที่หนึ่ง พวกที่ต้องผูกไว้มักดุร้าย เช่น ผีพราย พวกที่ปล่อยอิสระเพราะไม่ดุร้ายเช่น พวกผีบรรพบุรุษ สำหรับพวกที่ถูกผูกมัดไว้จะผูกมัดไว้ตลอดเวลาไม่ได้ เมื่อจะใช้งานก็จะเอาออกมา เรียกออกมาจากที่กักขังนั้น
(ให้สังเกตคนเลี้ยงผีประเภทนี้ จะทำอะไรบางอย่างไว้ตามต้นไม้ใหญ่ที่เปลี่ยวๆ เช่น ป่าช้า หรือคนไม่ค่อยเข้าไปคือ เขาผูกผีไว้ที่ต้นไม้นั้น) นอกจากนี้ ยังต้องปล่อยผีออกมาเพื่อไม่ให้ผีได้รับความกดดันมากจนคุมไม่ได้ เรียกว่า “ปล่อยของ” ซึ่งมักจะตรงกับวันเสาร์ห้า
นอกจากนี้ ยังมีวันอื่นๆ แล้วแต่ครูบาอาจารย์จะกำหนดอีกด้วย การปล่อยของหรือปล่อยผีนี้ จะมีอยู่เป็นรอบๆ ระยะ เมื่อปล่อยออกมาทีไร ผีจะหากินเอง และทำร้ายผู้คนทำให้ผู้คนเจ็บป่วยและต้องไปหาคนรักษาให้ ซึ่งผู้ที่จะรักษาหายได้ก็มีแต่เจ้าของอย่างเดียว ดังนั้น คนรักษากับคนทำก็คือคนๆ เดียวกัน มีสุภาษิตว่า “วัวใคร เข้าคอกคนนั้น” ผีก็เหมือนกันอย่างนั้น ออกมาจากไหน ก็กลับที่เดิม
ที่มาของผี
1. ผีบรรพบุรุษเราเองที่ตายลงไปแต่ยังไม่ไปเกิดยังภพภูมิอื่น เช่น ผีปู่ย่า-ตายาย
2. ผีที่ตกทอดสืบกันมาจากปู่ย่าตายายเป็นมรดกให้เลี้ยงต่อ เช่น ผีฟ้าพญาแถน
3. ผีที่ได้จากการไปหา ไปทำมา ด้วยอาคมของผู้เรียนคุณไสย เช่น ผีพราย, กุมาร
4. ผีที่ได้จากคนใกล้ตาย เรียกว่า “ผีฝาก” หรือฝากผีฝากไข้ คนใกล้ตายจะให้ผีมา
5. ผีที่ได้จากการปลดปล่อยวิญญาณสัมภเวสีที่ตกค้างยังที่ต่างๆ ตามมาอยู่ด้วย
การเลี้ยงผี นี้ข้อสำคัญอย่างหนึ่งคือต้องระวังไม่ให้ “ผีเข้าตัวเอง” ผีทุกชนิดอยากได้ร่างมนุษย์มาก เมื่อเลี้ยงไม่ระวังมันจะเข้าตัวเอง แล้วทำให้มนุษย์ผู้นั้นมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ถึงขั้นบ้าหรือตายได้ ตามแต่กรรมของผีที่ทำมา ทำอย่างไรมา มนุษย์ก็จะได้รับกรรมนั้นร่วมไปด้วย ยกเว้นมนุษย์ที่ปฏิบัติธรรมขั้นสูงมากๆ ไม่ต้องกลัวเลย เพราะสามารถโปรดผีให้หลุดพ้นจากกรรมและอบายภูมิชั้นต่ำได้ ผีจะกลายเป็น “เจตภูต” หรือเทวดาประจำตัวต่อไป แบบนี้ ผีที่ไม่ค่อยจะดี กลายเป็นผีที่ดี และนำบุญบารมีมาเสริมตัวผู้เลี้ยงได้ด้วย
การบูชาเทวดา คือ พิธีกรรมในการแสดงความศรัทธานับถือต่อเทวดา เพื่อให้เทวดาช่วยเหลือ หรืออวยพรให้มีความเจริญรุ่งเรือง ปกติจะทำมากในศาสนาพราหมณ์ แต่ในประเทศไทยก็มีอย่างแพร่หลายมาก การบูชาเซ่นสรวงเทวดา ถ้าทำแบบไม่รู้อะไรเลย คือ เป็นความหลง หรืออวิชชานั้น จะกราบไหว้อย่างไม่รู้ว่าตนไหว้อะไร เช่น ไปไหว้ตอไม้, ไปไหว้จอมปลวก ที่ไม่รู้เลยว่าที่เราไหว้นั้นเป็นอะไร แต่สำหรับพราหมณ์ที่เข้าใจ จะไหว้อย่างเฉพาะเจาะจงและมีความรู้ในเทวดาที่ไหว้นั้นๆ อย่างดีเช่น การบูชาพระพรหม, บูชาพระอินทร์การบูชานี้ จึงต่างจากการเลี้ยงผี เพราะการเลี้ยงผี ผีจะอยู่ด้วย และต้องดูแลตลอดแต่การบูชาเทวดานั้น เทวดาเป็นผู้มีบุญอยู่แล้ว ไม่ต้องเลี้ยงดูก็ได้ การเซ่นสรวงสังเวยด้วยอาหารและเครื่องไหว้ต่างๆ จึงเป็นเพียงเครื่องแสดงถึงความศรัทธาเพื่อเอาใจเทวดาเท่านั้น ก็มีการบูชาที่แตกต่างกันออกไป ทั้งรูปแบบ พิธีกรรมและเทวดาที่จะบูชา แต่ละองค์มีกิจ มีหน้าที่ๆ แตกต่างกัน ผู้บูชาจึงต้องมีความเข้าใจก่อนที่จะบูชา จึงจะสำเร็จสมปรารถนา
ที่มาของเทวดา
1. เทวดาที่อยู่ชั้นเดียวกันมนุษย์ คือ สวรรค์ชั้นที่หนึ่ง เช่น พระภูมิ, แม่ย่านาง
2. เทวดาชั้นสูงขึ้นไปบนสวรรค์ทั้งหกชั้น เช่น พระอินทร์, พระสยามเทวาธิราช
3. จิตวิญญาณจากพรหมโลก ซึ่งไม่เรียกว่าเป็นเทวดา เช่น พระพรหม, พระศิวะ
4. จิตวิญญาณที่สำเร็จธรรมหรือนิพพานแล้ว เช่น พระพุทธเจ้า, พระอรหันตเจ้า
การบูชาเทวดาจะทำเป็นพิธีเป็นครั้งๆ แล้วจบกันไปแต่การเลี้ยงผีจะเลี้ยงดูอยู่ตลอดเวลา นี่คือ ข้อแตกต่างกันของการเลี้ยงผีและการบูชาเทวดา เช่น เมื่อเกิดภัยแล้งมากๆ มนุษย์อาจบูชาเทวดาบางองค์ เพื่อขอให้มีฝนตกลงมาบ้าง การบูชาเทวดาจึงมักดูเป็นพิธีใหญ่